MIND MANAGEMENT TIPS:
Cultivate Happiness
ความสุขคือเป้าหมายในชีวิตของคนจำนวนมาก
ในขณะเดียวกัน บางคนตั้งใจทำงานมากจนลืมไปว่า ความสุขของตัวเอง คืออะไร
ลองมาสำรวจตัวเองเพื่อบ่มเพาะความสุขให้ตัวเองด้วยขั้นตอนนี้
1. อะไรคือ สุขสงบ (Peaceful) สุขสนุก (Joyful) สำหรับเราบ้าง
2. ช่วงที่ผ่านมาเรามีสิ่งไหน เท่าไหร่ อะไรมาก น้อยเกินไปอย่างไรบ้าง
3. อยากเพิ่ม ลด อะไร อย่างไร ในช่วง 1 เดือนต่อจากนี้
เสียสุขภาพจิต บริษัทสูญเสีย เท่าไหร่...
ปัญหาสุขภาพจิตไม่ได้กระทบเพียงแต่ตัวบุคคล แต่ยังเกี่ยวพันกับประสิทธิภาพการทำงานอีกด้วย เพราะถ้าสุขภาพจิตดีก็ทำงานได้ดี อารมณ์ดี Toxic กับผู้อื่นน้อยลง ใช้หัวคิดและประสิทธิภาพต่างๆ เจรจาต่อรองได้ดี
ในขณะเดียวกัน ถ้าเครียดเรื้อรัง ดูแลไม่เป็นจนเบิร์นเอาท์ เศร้าหนักจนซึมเศร้า ก็จะแผ่รังสีความทุกข์ออกมา คนรอบข้างก็ไม่อยากเข้าใกล้สักเท่าไร ใช้ความคิดได้ไม่เต็มที่เหมือนแต่ก่อน งานหนักเหมือนเดิม แต่กลับรู้สึกเซนซิทีฟมากขึ้น ก็ยิ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพงานลดลง ต้องลางาน หรือทำงานไปก็ยิ่งดึงความรู้สึก ดึงประสิทธิภาพของทีมลง
บางองค์กรละเลยเรื่องของใจเพราะคิดว่า ปล่อยไปเดี๋ยวก็หายเอง
ทว่าบางครั้ง เป็นไข้หวัด แต่ไม่จัดการดูแลอย่างเหมาะสม ก็พัฒนาเป็นไข้หวัดเรื้อรัง แถมยังส่งผลให้คนรอบข้างติดเชื้อ ไข้หวัดทางจิตใจอย่างกังวล เครียด ซึมเศร้า เหนื่อยหน่าย ก็เช่นกัน
จากการศึกษา พบว่าการไม่ดูแลปัญหาสุขภาพจิตของพนักงานทำให้บริษัทในออสเตรเลียสูญเสียเงินกว่า $10.9 billion ต่อปี
โดย สูญเสียเงินที่ควรจะได้ $4.7 billion/ปี จากการลางานเนื่องจากปัญหาสุขภาพจิต
และสูญเสีย $6.1 billion/ปี จากการทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพเนื่องจากปัญหาสุขภาพจิต เครียดเรื้อรัง ซึมเศร้า เบิร์นเอาท์
ในขณะที่บริษัทของอเมริกันสูญเสีย $17-44 billion ต่อปี
เอาเข้าจริง การดูแลสุขภาพจิต ใช้เงินค่อนข้างมาก โดยส่วนตัวรู้สึกว่า มากกว่าการดูแลสุขภาพกายเสียด้วยซ้ำ เพราะการบำบัดต่างๆ ต้องต่อเนื่อง อย่างน้อยๆ ก็ 3-5 ครั้ง จึงจะเห็นว่าดีขึ้น โดยช่วงแรกอาจนัดเจอกัน 1-2 ครั้งต่อเดือน บางเรื่องบางอาการต้องดูแลต่อเนื่องกัน 6 เดือน ถึง 1 ปี ในประเทศไทยตอนนี้ค่าบริการด้านสุขภาพจิตมีตั้งแต่ 400-5,000 บาท ต่อครั้ง หากพนักงานต้องแบกรับค่าใช้จ่ายด้วยตนเองก็นับเป็นเงินที่สูงพอสมควร
หากบริษัทมีการดูแลสุขภาพจิตพนักงานด้วย EAP: Employee Assistance Program เป็นโปรแกรมช่วยเหลือพนักงานเมื่อเกิดความเครียดและปัญหาด้านจิตใจจากทุกสาเหตุ ด้วยกระบวนการปรึกษาเชิงจิตวิทยาแบบกระชับ ผ่านทางโทรศัพท์กับนักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งให้บริการครอบคลุมทั้งพนักงาน รวมถึงบุคคลในครอบครัวของพนักงาน
โปรแกรมนี้จะช่วยให้คนในองค์กรมีตัวช่วยในการลดความเครียดและคัดกรองปัญหาทางด้านสุขภาพจิตในระยะแรกเริ่ม ไม่ให้ลุกลามเป็นปัญหาทางจิตที่รุนแรงในเวลาต่อมา เพราะความเครียดและปัญหาสุขภาพจิตมีความสัมพันธ์กับการเจ็บป่วยทางใจและทางกาย หากพนักงานมีสุขภาพจิตที่ดีจะเอื้อผลให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นตามไปด้วย
เปรียบได้กับ หากบริษัทมีประกันสุขภาพร่างกายให้พนักงานอยู่แล้ว EAP คือประกันสุขภาพจิตใจให้กับพนักงานนั่นเอง
จากการศึกษาพบว่า การลงทุนเพื่อดูแลสุขภาพจิตพนักงานเพียง $1 กลับทำให้พนักงานทำงานได้ดีและบริษัทได้เงินกลับมา (ROI: Return Of Investment) $3 เพราะพนักงานรู้สึกว่าได้รับการดูแลที่ดี
และการปรึกษาเชิงจิตวิทยาช่วยลดการขาดงานเนื่องจากปัญหาสุขภาพจิตจาก 8% เป็น 4%
การดูแลสุขภาพจิตของพนักงานด้วย EAP บางบริษัททำให้เกิด ROI สูงถึง 14:1
#EAP
#EmployeeAssistanceProgram
#Stress
#Burnout
#Depression
#WellBeing
#TeamWork
อ่านเพิ่มเติมหลายครั้งที่เรามักรอให้เสร็จงานใหญ่ เป้าหมายบรรลุแล้ว ค่อยเฉลิมฉลองความสำเร็จ ซึ่งบางงานกินเวลานานและใช้ทรัพยากรมากมาย
แถมเผลอๆ เรื่องนี้เสร็จแล้วก็มีอีกหลายเรื่องต่อคิวอยู่ ทำให้ฉลองได้อย่างไม่เต็มที่นักเพราะมักมีประโยคว่า "เดี๋ยวต้องทำเรื่องนั้นเรื่องนี้ต่อ" อยู่ในหัว
มาลองฝึก เฉลิมฉลองให้กับสิ่งเล็กๆ กันบ้าง สิ
(1) ทบทวน ช่วงที่ผ่านมาเราทำอะไรคืบหน้าไปบ้าง แม้เพียงเล็กน้อยขอให้มองเห็นสิ่งเหล่านั้น นี่คือการฝึกความสามารถในการมองเห็น Progress แทนที่มองแต่ Success เป็นการขยายจิตใจของเราให้ใหญ่ขึ้น
(2) ยิ้ม หายใจและยิ้มให้กับตัวเอง ยินดีกับก้าวเล็กๆ ของตัวเองที่จัดการเรื่องต่างๆ ได้ นี่คือการฝึกการผ่อนคลายให้กับร่างกายและจิตใจของตัวเอง
(3) ฉลอง ด้วยการให้รางวัลเล็กๆ กับตัวเองที่ทำได้เลยทันที เช่น ให้เวลาตัวเองดื่มกาแฟที่ชอบโดยไม่เปิดมือถือ 15 นาที อ่านนิยายสักเล่ม หรือจะไม่เปิดคอมพ์หลังเลิกงานแล้วในวันนี้ เป็นสิ่งเล็กๆ ที่เมื่อได้รับแล้วรู้สึกดีกับตัวเอง
นี่คือการดูแลตัวเอง ไม่ใช่การตามใจตัวเอง
#MindManagementTips
#StressManagment
#SelfCare
#SelfCompassion
#Resilience
อ่านเพิ่มเติมขอให้หาสถานที่ที่เป็นส่วนตัวและฝึกตามขึ้นตอนประมาณ 3-4 นาที
(1) Stop หยุดทุกอย่างที่ทำอยู่ แล้วกลับมานั่งในท่าที่มั่นคงและผ่อนคลาย จะหลับตาหรือลืมตาก็ได้
(2) Breath กลับมารับรู้ลมหายใจในขณะนั้น ไม่ต้องบังคับให้ลึกหรือช้า ร่างกายรู้วิธีหายใจอยู่แล้ว
(3) Observe สังเกตความรู้สึกของร่างกายและจิตใจที่เกิดขึ้น เมื่อได้หายใจแบบนั้น เพียงแค่สังเกตไม่ต้องควบคุมใดๆ
แล้วสังเกตว่า ความรู้สึกหลังจากการฝึกเป็นอยา่งไรบ้าง
อ่านเพิ่มเติมMIND MANAGEMENT TIPS: MOVE YOUR BODY
เป็นเรื่องปกติที่เราอยากจะนอนขดตัวหรือไม่อยากออกไปไหนเวลาที่กำลังเครียดหรือเผชิญเรื่องยากลำบาก ทว่ายิ่งนอนหรือนั่งนิ่งๆ ก็ยิ่งจิตตกกว่าเดิม แถมบางทีรู้สึกผิดเพิ่มขึ้นมาอีก
หากเป็นอย่างนั้นขอให้...
(1) ฝืนใจ แม้ไม่อยากก็ขอให้ฝึกฝืนใจตัวเองบ้าง ออกมาจากที่นอนถ้ารู้สึกว่านอนไม่หลับแล้ว
(2) ขยับร่างกาย ทำกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวกับงานหรือเรื่องที่กำลังกังวลอยู่ ขอให้เป็นกิจกรรมที่ได้ขยับร่างกายโดยไม่ต้องใช้ความคิดวิเคราะห์มาก เช่น ทำอาหาร ทำความสะอาดบ้าน การขยับร่างกายเหล่านี้ช่วยให้เราเปลี่ยนโฟกัสจากสิ่งที่อยู่ในหัวเป็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แถมบางทีกลับคิดหาคำตอบบางอย่างได้เพราะสมองกำลังอยู่ในภาวะผ่อนคลาย
(3) สังเกต ดูว่าเมื่อได้ขยับร่างกายโดยไม่ต้องไม่เอาใจไปคิดวนในหัวแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้าง ไม่ต้องพยายามสังเกต เพียงแต่ลองดูว่าสิ่งที่ทำอยู่ทำให้รู้สึกเปลี่ยนไปจากเดิมมากน้อยแค่ไหน เท่าไหร่ก็ได้ ได้หมด
อ่านเพิ่มเติม