สมัยตอนเป็นเด็ก อยู่ๆ ผมก็เกิดความสงสัยว่า หากเหวี่ยงขาขึ้นข้างบนเต็มแรง แล้วจะทำให้ร่างกายหมุนเป็นวงกลมคล้ายตัวเอกในการ์ตูนญี่ปุ่นที่เพิ่งอ่านจบไปได้หรือไม่
ผมไม่ปล่อยความสงสัยทิ้งไว้เป็นตะกอนของความคิด แต่ลงมือ (เท้า) ทันที
เมื่อเหวี่ยงเท้าขึ้นจนปลายเท้าเกือบมาอยู่กลางศีรษะ ร่างกายก็เสียสมดุลจากแรงเหวี่ยงนั้น
ผลก็คือ ผมสามารถเหวี่ยงเท้าได้แค่ครึ่งวงกลม และเหวี่ยงหัวได้อีกครึ่งวงกลม แต่ปัญหาคือหัวของผมดันไปอยู่แทนที่ที่เท้ามันควรจะอยู่น่ะสิ
หัวแตกเลือดอาบครับงานนี้
ร้อนถึงอาม่าต้องเอาดินสอพองผสมยาพื้นบ้านมาโปะให้ที่หัว สัก 2-3 วัน แผลก็หายไป คงเหลือแต่หัวปูดๆ ที่ยังคงสภาพเดิมมาจนทุกวันนี้
อีกครั้งหนึ่งที่โรงเรียน ขณะวิ่งเล่นอยู่กับเพื่อนๆ คิดว่าเล่นแตะแข็งเหมือนในเรื่อง Season Change นั่นแหละ ใครโดนเจ้าแตะปุ๊บ ต้องทำตัวแข็งค้างอยู่ในท่านั้นจนกว่าจะมีเพื่อนมาช่วยถึงจะวิ่งต่อได้
อารามอยากสนุกเกินงาม ผมออกแรงวิ่งหนีเพื่อนที่จะมาแตะพร้อมโชว์ฟอร์มสับขาหลอกอย่างมีชั้นเชิง
หัวคิดออกครับว่าจะสับขาไปทางไหนยังไง แต่ขาเจ้ากรรมดันช้ากว่าความคิดสะดุดกันเอง
คราวนี้ล้มหัวเข่าถลอกปอกเปิก ต้องเลิกเล่นไปใส่ยาที่ห้องพยาบาลแทน
แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน เมื่อหายเจ็บแผลก็กลับมาวิ่งเล่นกับเพื่อนต่อ แถมยังสนุกกับการลอกสะเก็บแผลตรงหัวเข่าอีกซะนี่
น่าแปลกใจว่า เมื่อโตขึ้นผมแทบจะไม่หกล้มหรือสะดุดอะไรให้หัวคะมำเท่าไหร่ (ไม่นับความซุ่มซ่ามเดินเตะโน่นนี่นะ)
จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครั้งหลังสุดที่ร่างกายไถลไปกับพื้นคือเมื่อไหร่
ผกผันกับการล้มทางจิตใจ ที่ยิ่งมีอายุมากเท่าไร ก็ล้มมากขึ้นเท่านั้น
คงเป็นเพราะยังมีอีกหลายสิ่งในชีวิตนี้ที่เราไม่รู้หรือไม่ทันระวัง ไปสะดุดเข้าจิตใจก็เสียสมดุล หกคะเมนตีลังกาล้มไม่เป็นท่าอยู่บ่อยๆ
ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความโกรธ ความอยาก หรือความหวัง
ยิ่งเสียศูนย์กับ “ความ” เหล่านี้บ่อยๆ โดยไม่หัดลุกขึ้นบ้าง จิตใจของคนเราก็จะ “ตายด้าน” เอาได้
ตายด้านกับความรักที่แท้
ตายด้านกับการให้อภัย
ตายด้านกับความอดทนอดกลั้น
ตายด้านกับการรู้จักปล่อยวาง
ตอนเป็นเด็ก หากร่างกายคลุกดินเมื่อไหร่ ผมก็ลุกขึ้นปัดฝุ่นที่เขรอะตามเนื้อตัว แล้วไปวิ่งเล่นต่อกับเพื่อน
โตขึ้น ฝุ่นผงของประสบการณ์ต่างๆ ก็ควรถูกปัดชำระบ้างเช่นกัน เพื่อให้เรามีแรงออกไปเผชิญกับโลกใบนี้ได้ต่อไป
เว็บรวมข้อมูล พนันออนไลน์เว็บไหนดี ได้เงินจริง พร้อมฟรีเครดิต